ด้วยความที่เครื่องแมคฯ ของแอปเปิลมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ดูดีและแทบจะไม่มีปัญหาการใช้งาน หรือถ้ามีก็ต้องยอมรับว่าน้อยกว่าเครื่องพีซีที่ใช้ Windows มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้หลังจากที่เริ่มมีการใช้ชิป Apple M1 ก็ยิ่งทำให้เครื่องแมคฯ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีก
แต่เพราะเครื่อง MacBook, iMac หรือว่า Mac Pro ของแอปเปิลนั้น ผลิตออกมาโดยรองรับการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ macOS ที่แม้ว่าจะใช้งานง่าย แต่สำหรับผู้ที่เคยชินอยู่กับ Windows การเริ่มต้นกับระบบปฏิบัติ macOS ก็ต้องเรียนรู้ และปรับตัวไม่น้อยเลย โดยเฉพาะกับพื้นฐานการใช้งานต่างๆ 12 อย่างต่อไปนี้
ไม่มีปุ่มสตาร์ท
ปุ่มสตาร์ทถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นศูนย์รวมการใช้งานที่ผู้ใช้ Windows เคยชิน เพราะไม่ว่าจะเป็นการเรียกใช้โปรแกรม แอปฯ เครื่องมือหรือการตั้งค่าใดๆ แล้วแต่ต้องทำผ่านปุ่ม Start เสมอ (เว้นเสียแต่ว่าสร้างช็อตคัตไว้แล้ว) แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ macOS ขอให้ลืมปุ่มนี้ไปได้เลย เพราะการใช้งาน macOS มักจะเริ่มต้นด้วยการเรียกผ่านไอคอนบนหน้าจอ หรือทำผ่านเครื่องมืออื่นๆ ทั้งจากเมนูที่อยู่ด้านบนและการค้นหา นอกจากนั้นการเรียกใช้โปรแกรมก็จะทำผ่าน Launchpad โดยคลิกที่ไอคอนรูปจรวด แล้วค้นหาเลือกโปรแกรมจากรายการที่มีอยู่
ปุ่มย่อ-ขยายหน้าต่างอยู่ด้านซ้าย
ลักษณะที่เหมือนกันอย่างหนึ่งของหน้าต่างโปรแกรมของ Windows กับ MacOS คือ ผู้ใช้สามารถปรับขนาด ย่อลงหรือย้ายตำแหน่งได้ โดยมีปุ่มปิด ปุ่มย่อ และปุ่มขยายเต็มจอ/คืนขนาด ให้ใช้คล้ายๆ กัน แต่จะต่างกันที่ปุ่มปิด ย่อขยายหน้าต่างของ macOS จะอยู่ด้านบนซ้าย อีกทั้งยังจัดเรียงและใช้สัญลักษณ์ไม่เหมือนกับของ Windows แต่ก็จะใช้งานได้สะดวกมาก เพราะนอกจากแต่ละปุ่มจะบอกหน้าที่ด้วยสีที่แตกต่างกันแล้ว ยังสามารถใช้ปรับหน้าต่างให้มีขนาดครึ่งหน้าจอและเลือกวางชิดด้านซ้ายหรือขวาได้อีก แต่มันก็ทำให้ผู้ใช้สับสนได้ไม่น้อย เพราะการคลิกปิดหน้าต่างๆ ไม่ได้หมายถึงการปิดโปรแกรมเสมอไป เนื่องจากบางโปรแกรมจะต้องสั่ง Quit จากเมนูเท่านั้น
หน้าต่างแอปฯ ไม่มีแถบเมนู
ในขณะที่โปรแกรมหรือแอปฯ ใดๆ ที่ใช้งานกับ Windows มีแถบเมนูติดรวมอยู่กับหน้าต่างโปรแกรมด้วยเสมอ และไม่ว่าจะย้ายตำแหน่งหรือปรับขนาดหน้าต่างอย่างไร แถบเมนูนั้นส่วนใหญ่ก็ยังติดอยู่ แต่สำหรับ macOS นั้น แถบเมนูของโปรแกรมจะไม่ถูกรวมไว้กับหน้าต่าง แต่จะถูกแยกไปไว้ที่ด้านบนสุดของหน้าจอ โดยแถบเมนูนี้เปลี่ยนไปตามโปรแกรมหรือแอปฯ ที่กำลังใช้งานโดยอัตโนมัติ
ไม่มีทาส์กบาร์ (Taskbar) แต่มี Dock
แถบไอคอนที่อยู่ด้านล่างหน้าเดสก์ทอปของ macOS ที่เรียกว่า Dock นั้น แม้จะมีลักษณะคล้ายกับทาส์กบาร์ของ Windows แต่ฟังก์ชันการทำงานจะไม่เหมือนกัน เพราะนอกเหนือไปจากรูปแบบการจัดวางไอคอนและการแสดงรายการแอปฯ หรือเอกสารที่เปิดใช้งานแล้ว บน Dock ก็ยังไม่มีการแสดงภาพตัวอย่างแอปฯ ที่กำลังใช้อยู่เหมือนอย่าง Windows ด้วย
Finder ตัวแทนของ File Explorer
โดยปกติการเข้าถึงไฟล์ข้อมูลต่างๆ ของ Windows จะทำผ่านโปรแกรม File Explorer แต่เมื่อเป็น macOS จะต้องทำผ่านแอปฯ Finder ซึ่งแม้จะไม่มีอะไรที่ต่างกันมาก แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้คุ้นเคยกับ Windows ต้องปรับตัว เพราะใน Finder ของ macOS นั้นจะไม่มีการแสดงเส้นทางหรือโครงสร้างของโฟลเดอร์แบบ Windows และจะรู้ได้ก็เมื่อแสดงผลข้อมูลแบบคอลัมน์ นอกกจากนี้ในแถบรายการที่อยู่ด้านซ้ายของ Finder ก็จะมีเฉพาะช็อตคัตและรายการโปรดเท่านั้น แต่ข้อดีของ Finder ก็คือมันสามารถจัดระเบียบไฟล์โดยการกำหนดสีและใช้คีย์เวิร์ดได้
การค้นหาทำผ่าน Spotlight และ Siri
เมื่อเปลี่ยนมาใช้ macOS การค้นหาต่างๆ จะต้องทำผ่าน Spotlight โดยคลิกที่ไอคอนบนหน้าจอ หรือไม่ก็กดคีย์ลัด Command+Spacebar ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะไม่ความสะดวกเหมือนกับ Windows ที่สามารถพิมพ์ข้อความในช่องค้นหาบนทาส์กบาร์ได้ทันที แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเครื่องมือที่ค้นหาได้ทั้งเอกสาร แอปฯ และอื่นๆ อีกทั้งยังมีความเร็วที่ไม่ได้แตกต่างไปจากการใช้เครื่องมือค้นหาของ Windows เลย หรือถ้าต้องการคำสั่งเสียงก็มี Siri ให้เรียกใช้อีก
ระบบการแจ้งเตือน รายละเอียดไม่เหมือนกัน
Windows และ macOS ต่างก็เป็นระบบปฏิบัติการที่มีระบบการแจ้งเตือนที่ยอดเยี่ยม แต่ความแตกต่างคือ ถ้าเป็นเวอร์ชันเก่าๆ ภายในระบบการแจ้งเตือนของ macOS จะไม่มีฟังก์ชันการตั้งค่าการทำงานอย่างที่ผู้ใช้ Windows คุ้นชิน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเสียง ความสว่างหน้าจอ หรือการเชื่อมต่อต่างๆ แต่ถ้าเป็น macOS รุ่นใหม่ๆ อย่าง Big Sur ผู้ใช้ Windows จะทำความคุ้นเคยได้ง่ายกว่า
แอปฯ ที่มีให้ใช้ อาจไม่คุ้นเคย
ไม่ว่าจะเป็นงานลักษณะใด MacOS ก็มีโปรแกรมหรือแอปฯ ให้ใช้ไม่ต่างจาก Windows เพียงแต่โปรแกรมเหล่านั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้ Windows ไม่คุ้นเคย อย่างเช่น Page, Number และ Keynote ของ iWork ที่ใช้งานแบบเดียวกับโปรแกรม Office แต่ถ้าต้องการใช้โปรแกรม Office แบบเดียวกับ Windows ก็สามารถใช้ Microsoft 365 หรือโปรแกรม Office 2019 เวอร์ชันสำหรับ macOS แทนได้เช่นกัน
การใช้งานแอปฯ อีกทางเลือกหนึ่งคือ ถ้าคิดว่ายังจำเป็นต้องใช้งานโปรแกรมของ Windows อยู่ บน macOS ก็สามารถติดตั้ง Windows เข้ากับเครื่องแมคฯ ได้ โดยทำผ่าน Boot Camp หรือจะทำเป็นระบบเสมือนโดยใช้ Parallels ก็ได้แต่มีข้อแม้ว่าเครื่องแมคฯ นั้นจะต้องรองรับการใช้งานลักษณะนี้ด้วย
ติดตั้งแอปฯ ไม่อยาก แต่ต้องเข้าใจ
การติดตั้งแอปฯ บนระบบปฏิบัติการ macOS นั้น แม้จะมีลักษณะที่ไม่ต่างจากการติดตั้งโปรแกรมบน Windows แต่ก็จะมีรายละเอียดและวิธีการที่ต่างออกไป อย่างเช่นถ้าต้องการติดตั้งโปรแกรมอย่างปลอดภัยก็ควรดาวน์โหลดผ่าน App Store หรือถ้าในกรณีที่เลือกติดตั้งเอง ก็มักจะต้องทำผ่านไฟล์อิมเมจที่อยู่ในรูปแบบ .DMG โดยคลิกเพื่อ Mount และเปิดหน้าต่างติดตั้งแอปฯ ขึ้นมา จากนั้นก็เพียงลากไปยังโฟลเดอร์ Application ซึ่งเป็นที่รวมแอปฯ ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่อง หรือถ้าไม่ใช่วิธีนี้ ก็ต้องติดตั้งผ่านไฟล์ PKG และเมื่อต้องการถอดการติดตั้งแอปฯ ใดๆ ก็ทำได้ง่ายๆ โดยลากไอคอนแอปฯ นั้นไปลงถังขยะที่อยู่ปลายสุดของ Dock หรือไม่ก็ทำผ่านตัวถอนการติดตั้งแล้วทำตามขั้นตอนบนหน้าจอ
ปุ่มพิเศษและคีย์ลัด ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่า Windows และ macOS ต่างก็สามารถสั่งงานโดยใช้คีย์ลัดได้ทั้งคู่ แต่ปุ่มที่ใช้จะไม่เหมือนกัน และเป็นอีก หนึ่งความแตกต่างที่ผู้ใช้ Windows ต้องปรับตัวอย่างมากเมื่อต้องเปลี่ยนมาใช้ macOS เพราะคีย์บอร์ดของเครื่องแมคฯ จะไม่มีปุ่ม Windows กับปุ่ม Alt แต่จะมีปุ่ม Option กับปุ่ม Command และปุ่ม Ctrl ที่แม้จะมีเหมือนกัน แต่ก็ใช้งานไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ทำให้การใช้คีย์ลัดต่างๆ บน macOS จำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด
จับภาพหน้าจอได้ง่าย แต่ต้องใช้คีย์ลัด
ในขณะที่ Windows สามารถจับภาพหน้าจอได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ Snip & Sketch หรือ Snipping Tool แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ macOS ก็จำเป็นต้องปรับตัวใหม่ เพราะการจับภาพหน้าจอของ macOS นั้นใช้คีย์ลัด ยกตัวอย่างเช่น
กดปุ่ม Command + Shift + 3 เพื่อจับภาพทั้งหน้าจอ
กดปุ่ม Command + Shift + 4 เพื่อจับภาพเฉพาะส่วน
หรือถ้ากดปุ่ม Command + Shift + 5 ก็จะเป็นการเปิดตัวเลือกสำหรับการจับภาพหน้าจอขึ้นมาเลือกใช้งาน
Trackpad ใช้งานดี แต่ต้องเรียนรู้ใหม่
เครื่อง MacBook จะมี Trackpad ที่ให้ประสบการณ์การการใช้งานที่ดีมาก ทั้งความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสและการสั่งงานผ่านระบบ Gestures แต่ถ้ายังไม่ได้ตั้งค่าอะไรเพิ่มเติม มันก็ทำให้ผู้ใช้ที่เคยชินกับ Windows สับสนและมึนงงได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อการคลิกขวาบน macOS คือการใช้ 2 นิ้วแตะลงไปบน Trackpad และแน่นอนว่าความหมายของการสั่งงานผ่านระบบ Gestures อื่นๆ ก็แตกต่างกัน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้จึงควรศึกษาและเรียนรู้วิธีการใช้งานก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแค่คลิกที่ไอคอน Apple > System Preferences > Trackpad เท่านั้น