ไมโครซอฟท์ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับสเปคเครื่องที่สามารถใช้งาน Windows 11 ที่กำลังจะเปิดให้อัพเดตไว้ว่า ไมโครซอฟท์จะอาศัยการอ้างอิงจากหลักการ 3 อย่างต่อไปนี้คือ
1. ความปลอดภัย (Security)
เพราะการใช้ฟีเจอร์ทางด้านความปลอดภัยในระดับฮาร์ดแวร์ช่วยลดมัลแวร์ได้ถึง 60% ดังนั้นจึงต้องบังคับให้ต้องมี TPM (Trust Platform Module), Secure Boot และรองรับ Virtualization-Based Security (VBS) เพื่อแยกส่วนพื้นที่ในหน่วยความจำออกจากระบบปฏิบัติการหลัก
2. ความน่าเชื่อถือ (Reliability)
เป็นเรื่องเสถียรภาพของไดรเวอร์ ทำให้ Windows 11 ต้องการซีพียูที่รองรับ Windows Driver Model (WDM) และต้องยังอยู่ในระยะการซัพพอร์ตของผู้ผลิตซีพียูด้วย เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาของระบบ
3. ความเข้ากันได้ (Compatibility)
เพื่อให้ทำงานกับแอปฯ ในปัจจุบันได้อย่างราบรื่น และไม่มีปัญหา ซีพียูที่ใช้จึงต้องมีแกนหลัก (Core) อย่างน้อย 2 แกน ที่ทำงานด้วยความเร็วสูงกว่า 1GHz พร้อม RAM 4GB รวมทั้งต้องมีที่เก็บข้อมูลอย่างน้อย 64GB ตามสเปคขั้นต่ำของการใช้โปรแกรม Office และ Teams
แต่ผลก็คือ ไมโครซอฟท์ถูกมองว่ากำหนดสเปคเครื่องสำหรับใช้ Windows 11 ไว้สูงเกินไป ทำให้ต้องกลับไปทบทวน และมีแนวโน้มว่าอาจจะยอมเปิดทางให้ซีพียู Intel Core เจนเนอเรชั่น 7 กับ AMD Zen 1 สามารถใช้งานได้ด้วย แต่หลังจากที่ทดสอบจนมั่นใจแล้ว ปรากฎว่าซีพียูที่รองรับเพิ่มเติมจากที่เคยประกาศไว้ก็มีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นคือ
Intel Core X-Series (ซีพียู Intel Core เจนเนอเรชั่นที่ 7 ตั้งแต่รุ่น i5-7640X ถึง i9-7980XE)
Intel Core 7820HQ (เฉพาะเครื่องที่มีไดรเวอร์แบบ DCH อย่างเช่น Surface Studio 2 เท่านั้น)
สำหรับเครื่องที่ใช้ซีพียู AMD สถาปัตยกรรม Zen 1 นั้น ไมโครซอฟท์เปิดเผยว่าจะไม่สามารถอัพเกรดมาใช้งาน Windows 11 ได้ทั้งหมด หลังจากที่ประเมินและตรวจสอบแล้วว่า ไม่องรับความเข้ากันได้ตามที่คาดไว้ โดยผู้ที่ใช้ซีพียูของเอเอ็มดีสามารถตรวจสอบดูได้ที่ https://docs.microsoft.com/en-us/windows-hardware/design/minimum/supported/windows-11-supported-amd-processors
ส่วนผู้ที่ใช้ซีพียูอินเทลตรวจดูได้ที่ https://docs.microsoft.com/en-us/windows-hardware/design/minimum/supported/windows-11-supported-intel-processors
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเครื่องจะไม่ผ่านสเปคฯ แต่ไมโครซอฟท์ก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะอนุญาตให้ติดตั้งใช้งาน Windows 11 ได้โดยใช้ไฟล์ ISO ที่ปล่อยให้ดาวน์โหลด เนื่องจากก่อนการติดตั้ง ระบบจะไม่มีการตรวจสอบสเปคขั้นต่ำเหมือนกับการอัพเกรดจาก Windows 10 เพียงแต่กรณีนี้ผู้ใช้จะต้องแบกรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง
ความเสี่ยงเมื่อใช้ Windows 11 กับเครื่องที่ไม่ผ่านสเปค
ในกลุ่ม Insider มีการเผยสถิติให้เห็นว่า ในกรณีที่ใช้ Windows 11 กับฮาร์ดแวร์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ มีโอกาสที่เคอร์เนลจะมีปัญหามีมากกว่าการใช้กับฮาร์ดแวร์ที่ผ่านเกณฑ์สูงถึง 52% รวมทั้งยังมีปัญหาแอปฯ ค้างมากกว่ากันถึง 17% ด้วย นอกจากนี้ตัวแทนของไมโครซอฟท์ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การติดตั้งใช้งาน Windows 10 กับเครื่องที่ไม่ผ่านเกณฑ์เช่นนี้ ก็อาจจะไม่ได้รับการอัพเดต รวมถึง Patch เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องและไดรเวอร์ที่จำเป็นต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดหรือข้อมูลยืนยันจากไมโครซอฟท์ว่า นโยบายการอัพเดตเมื่อใช้ Windows 11 กับเครื่องพีซีที่ไม่ผ่านเกณฑ์จะเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ไมโครซอฟท์จะเริ่มทยอยปล่อย Windows 11 ให้ผู้ใช้ Windows 10 ได้อัพเดตกันแล้ว