ไอโฟน 11 เปิดตัวอย่างเป็นการทางการ แรงสุดด้วยชิป A13 อันทรงพลัง

                ในที่สุด ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด ก็ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และพร้อมจะนำออกสู่ตลาดอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ โดยมีให้เลือก 3 รุ่น ประกอบไปด้วย ไอโฟน 11 รุ่นปกติ รุ่นโปร และรุ่นโปรแม็กซ์ ส่วนจะล้ำหรือเป็นนวัตกรรมขนาดไหน หรือมีการนำฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ มารวมไว้บ้าง มาดูกัน

ทรงพลังด้วยชิป A13 Bionic

                การเปลี่ยนแปลงแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ไอโฟน 11 ทั้งสามรุ่นที่ได้รับการเปิดตัวในครั้งนี้ จะใช้ความสามารถในการประมวลผลจากชิปเซ็ต A13 Bionic ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยแอปเปิลอ้างว่ามันเป็นชิปประมวลผลที่ทำให้ไอโฟน 11 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประมวลผลกราฟิกหรือซีพียู

รูปลักษณ์และการออกแบบ

                ไอโฟนทั้งสามรุ่นจะมีรูปลักษณ์และการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน แต่วัสดุที่ใช้จะต่างกันเล็กน้อยคือ ตัวเครื่องของไอโฟน 11 รุ่นปกติจะใช้วัสดุที่เป็นอะลูมิเนียม โดยที่ด้านหลังเครื่องจะเสริมด้วยวัสดุที่เป็นกระจกเพื่อเพิ่มความหรูหราให้กับตัวเครื่อง โดยไอโฟน 11 รุ่นปกตินี้จะมีให้เลือก 6 สีในแนวพาสเทลที่ประกอบด้วย ดำ แดง ม่วง ขาว เหลือง และเขียว

                สำหรับไอโฟน 11 รุ่นโปร และโปรแม็กซ์นั้น ตัวเครื่องก็มีลักษณะที่ดูหรูหราด้วยการใช้กระจกเช่นกัน แต่จะเป็นกระจกผิวด้านในขณะที่ตัวเครื่องก็ใช้วัสดุที่เป็นสเตนเลสสตีล โดยมีให้เลือก 4 สี (ทอง, เทาสเปซเกรย์, เงิน, เขียวมิดไนท์กรีน) และตัวเครื่องของไอโฟน 11 รุ่นโปรกับโปรแม็กซ์นั้นก็จะกันน้ำกันฝุ่นได้ที่ระดับ IP68 โดยอยู่ใต้น้ำลึก 4 เมตรได้นาน 30 นาทีด้วย ส่วนไอโฟน 11 รุ่นปกตินั้น แม้ว่ามันจะกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP68 เหมือนกัน แต่ในเวลา 30 นาทีเท่ากัน มันจะอยู่ใต้น้ำได้ลึกที่สุดเพียง 2 เมตร

หน้าจอสองทางเลือกระหว่าง LCD กับ OLED

                ไอโฟน 11 รุ่นปกติจะมีหน้าจอ LCD ที่เป็นแบบ Liquid Retina HD ขนาด 6.1 นิ้วที่มีความละเอียด 1,792x828 พิกเซล แต่สำหรับรุ่นโปรและรุ่นโปรแม็กซ์จะมีหน้าจอ OLED แบบ Super Retina XDR ที่มีความสว่างสูงสุดถึง 1200Cd/m2 (Nits) รวมทั้งรองรับการแสดงผลแบบ HDR10 และ Dolby Vision ทั้งสองรุ่น แต่ก็จะมีขนาดที่ต่างกันคือ รุ่นโปรจะมีขนาด 5.8 นิ้วที่มีความละเอียด 2,436x1,125 พิกเซล ส่วนรุ่นโปรแม็กซ์จะมีขนาด 6.5 นิ้วและมีความละเอียด 2,688x1,242 พิกเซล

กล้องถ่ายภาพได้ดี และทำอะไรได้มากขึ้น

                กล้องหน้าของไอโฟน 11 ทั้งสามรุ่นจะเป็นแบบ TrueDepth ที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และใช้เลนส์ f/2.2 เหมือนกัน รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K@60fps และสามารถถ่ายวิดีโอ 1080p ที่มีอัตราภาพ 120 ภาพต่อวนาทีแบบสโลวโมชั่นได้ แต่กล้องหลังของไอโฟน 11 รุ่นปกติจะเป็นระบบกล้องคู่ที่ประสานการทำงานกันระหว่างเลนส์มุมกว้างที่มีทางยาวโฟกัส 26 มิลลิมเตร f/1.8 กับเลนส์มุมกว้างพิเศษที่มีทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร f/2.4 ที่มีมุมมองภาพ 120 องศา โดยมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และนอกจากการถ่ายภาพแบบต่างๆ อย่างที่เคยมีในรุ่นก่อนแล้ว ไอโฟน 11 ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ยังมาพร้อมกับโหมดสำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนด้วย

                สำหรับกล้องหลังของไอโฟน 11 รุ่นโปร และรุ่นโปรแม็กซ์นั้น จะเป็นระบบสามกล้อง โดยมีการเพิ่มกล้องที่ใช้เลนส์เทเลฯ f/2.0 ที่ซูมได้ 2x เพิ่มเข้ามา ส่วนกล้องอีกสองตัวจะเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในรุ่นปกติ ซึ่งนั่นทำให้กล้องหลังของไอโฟน 11 รุ่นโปรและรุ่นโปรแม็กซ์ใช้งานได้หลากหลายกว่า นอกจากนั้นยังสามารถถ่ายวิดีโอโดยใช้กล้องทั้งสี่ตัว (กล้องหลัง 3 ตัวกับกล้องหน้าอีก 1 ตัว) เพื่อให้ได้ภาพ 4 มุมมองพร้อมกันจากการถ่ายในครั้งเดียวได้ด้วย

แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่าเดิม

                ในงานเปิดตัว แอปเปิลไม่ได้ให้ข้อมูลว่าไอโฟน 11 ที่เปิดตัวทั้งสามรุ่นใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุเท่าใด แต่ก็อ้างว่าไอโฟน 11 รุ่นปกตินั้นสามารถใช้งานได้นานกว่าไอโฟน Xr 1 ชั่วโมง ทั้ง 3 รุ่นสามารถใช้งานได้นานเดิม แต่ถ้าเป็นรุ่นโปร จะใช้งานได้นานกว่าไอโฟน Xs 4 ชั่วโมง หรือถ้าเป็นรุ่นโปรแม็กซ์ก็จะใช้งานได้นานกว่าไอโฟน Xs Max ถึง 5 ชั่วโมง และทั้งสามรุ่นก็รองรับระบบชาร์จเร็ว 18 วัตต์ โดยสามารถชาร์จจนได้ความจุ 50 เปอร์เซ็นต์ได้ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

                ไอโฟน 11 ที่เปิดตัวออกสู่ตลาดนี้ ถ้าเป็นรุ่นปกติจะมีหน่วยความจำให้เลือก 3 ความจุคือ 64GB, 128GB และ 256GB ส่วนรุ่นโปร และโปรแม็กซ์จะมีความจุให้เลือกระหว่าง 64GB, 256GB และ 512GB โดยแอปเปิลให้ข้อมูลว่า ไอโฟน 11 ทั้งสามรุ่นที่เปิดตัวในครั้งนี้ จะเริ่มหาซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนนี้เป็นต้นไป

รายละเอียดเพิ่มเติม...https://apple.co/2mc9YDl


TECH NEWS